ช่วงชีวิต (ระทึก) ที่ห้วยขาแข้ง

มีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันล่ะ  แบบว่าได้ไปเก็บข้อมูลที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง  ผู้ร่วมเดินทางคราวนี้ประกอบด้วย เรา ก้อย น้องกิฟต์ และน้องบิ๋มผู้เป็นสารถีในการเดินทางครั้งนี้  สี่สาวเริ่มออกเดินทางจาก กทม. เพื่อมุ่งหน้าไปน้ำตกไซเบอร์ ซึ่งอยู่ในพืน้ที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง อากาศร้อนมากๆเลย ขับไปตามทางสักพักใหญ่ ก็ถึงที่หมาย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าไปเพราะว่าน้ำหลาก แต่พวกเราก็ยังเดินเข้าไปเพื่อให้เห็นกับตา ระหว่างทางเดินก็ได้ยินเสียงน้ำตกดังมาก พอจะรู้ว่าน้ำต้องเยอะมากๆๆ หลังจากเดินชื่นชมธรรมชาติได้สักพักก็ถึงบริเวณนั่งพัก พวกเราไม่สามารถข้ามสะพาน(เล็ก)เพื่อเดินเข้าถึงตัวน้ำตกได้เพราะน้ำไหลแรงและปริมาณน้ำเยอะมาก ก็ต้องกลับกันมาด้วยความผิดหวัง
ต่อจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตากันไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ก่อนเข้าไปก็เจอกับกระแสน้ำที่ไหลท่วมถนน (ซึ่งเป็นช่วงสั้นๆ) น้ำไหลไม่แรงมากนัก แต่เพื่อความปลอดภัยจึงให้เจ้าหน้าที่ขับผ่านน้ำไปให้ จากนั้นพวกเราก็ขับรถต่อกันไปถึงในเขตฯ  แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเข้าพื้นที่ปุ๊บฝนก็ตกปั๊บ ที่น่าเศร้าใจก็คือ อยู่3วัน ฝนตกทั้ง 3 เลยอ่ะ ตกตั้งแต่เที่ยงคืนจนกระทั่งบ่าย2ของอีกวัน เฮ้อ !!!  เป็นอย่างนี้ตลอดเลย วันๆ ก็เลยแค่กิน กับนอน อยู่แต่บ้านพัก (แย่สุดๆ) ดีนะว่ามีหนังสือติดไม้ติดมือไปด้วย ก็เลยได้อ่านหนังสือฆ่าเวลา แล้วเวลาที่อ่านหนังสือก็ต้องมีคนเข้ามาคุยด้วยทุกมีสิน่า
แล้วเย็นวันเสาร์ก็เป็นวันที่รู้สึกดี เพราะว่ามีชมรมอะไรไม่รู้ของการบินไทย มาเที่ยว ส่วนคืนนั้นก็ได้นั่งฟังพี่โรจน์บรรยายให้ความรู้กับชมรม เราก็เนียนฟังด้วย แล้วก็เนียนแจกแบบสอบถามก่อนกลับไปนอนกัน ตอนดินกลับก็เดินดูดาวเพราะฟ้าคืนนี้เปิด เหฌนดาวชัดเจนมากๆ คิดว่าพรุ่งนี้แดดคงออก แล้วความหวังก็พังทลายเพราะฝนตกอีกแล้วครับพี่น้อง
เช้าวันสุดท้าย พวกเราเก็บของเตรียมกลับ กทม. แต่ยังกลับไม่ได้ครับท่าน เพราะว่าน้ำหลากมากๆ สีของน้ำเหมือนสีกาแฟ 3 in 1 เลยแล้วสีก็ค่อยๆเข้มขึ้น รวมถึงปริมาณน้ำที่เพิ่มมากขึ้นด้วย แถมยังไม่ยอมหยุดตกง่ายๆอีกจนเที่ยง พวกเราและคณะชมรม มีความหวังว่าจะได้กลับ กทม จึงนั่งรถไปดูสถานการณ์เผื่อน้ำลดแล้วจะข้ามไปได้  แต่แล้วฝนฟ้าก็ไม่เป็นใจ ตกมาอีกห่าใหญ่ คราวนี้ก็เปียกปอนกันเลย เพราะว่าต้องขนคนอื่นๆของมาด้วย เราและน้องๆนั่งกะบะหลังให้ป้าๆ และน้องๆ นั่งหน้า ทุกคนต้องกลับมาตั้งหลักกันใหม่ที่ที่พัก  และแล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก ประมาณ 6 โมงเย็น เจ้าหน้าที่ก็รายงานมาว่า น้ำลดลงแล้ว รถขับผ่านออกไปได้ (แต่ด้วยความระมัดระวัง) แล้วความหวังก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ก็ยังขนคนขั้นรถเหมือนครั้งแรก ทุกคนแอบหวังว่าจะได้กลับบ้านกันทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่กล้าหวังมากนัก เพราะอย่าไปเอาแน่เอานอนกับธรรมชาติ ระหว่างทางที่ขับรถออกไปนั้น ถนนก็ถูกเซาะไปมากเหมือนกันถ้าเทียบกับช่วงกลางวันที่ขับรถออกมา ถนนบางช่วงเหลือแค่ให้รถผ่านได้เท่านั้นจริงๆ พอถึงจุดที่สำคัญที่สุดนั่นคือบริเวณคลองขุนชาติ หรือ คลองที่มีป้ายมรดกโลกพวกเรามองไม่เห็นถนนถนนแม้แต่น้อย เนื่องจากกระแสน้ำที่พัดผ่านท่วมถนนหมดเลย แถมน้ำยังค่อนข้างเชี่ยวอีกด้วย แล้ววีรบุรุษของเราก็มาถึง มีพี่ผู้ชายคนนึงอาสาขับรถให้เนื่องจากน้องบิ๋มไม่กล้าขับ แล้วพี่เค้าก็สวมหัวใจที่เกินร้อย ขับบผ่านน้ำไป หัวใจทุกดวงที่นั่งรถคันนั้นเต้นด้วยความระทึกและลุ้นขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี รถก็เอียงซ้ายเล็กน้อย ลุ้นกันเข้าไป แล้วพี่คนนั้นก็ใช้ประสบการณ์ที่มีประคองรถให้ผ่านลำน้ำนั้นได้อย่างปลอดภัย เสียงไชโยโห่ร้องก็ดังขึ้น แล้วพวกเราเกือบ 60 ชีวิต ก็แยกย้ายกันกลับ
ต้องขอบคุณพี่ๆเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่อุตส่าห์เสียสละเวลา แรงกายแรงใจในครั้งนี้ คราวหน้าก็จะไปอีก ใครสนใจก็บอกนะจ๊ะ

5 ความเห็น

ใส่ความเห็น